สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูการดนตรีไทยให้เจริญรุ่งเรือง โดยทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ให้สมบูรณ์ และดาหลัง ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีมาแต่สมัยอยุธยา วรรณคดีทั้ง 2 เรื่องนี้ ใช้นำแสดงละคร และแสดงโขน(เฉลิม พงษ์อาจารย์. 2529 : 293) ต่อมาในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดนตรีไทยได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย พระองค์ทรงส่งเสริมด้านวรรณคดีและการละคร ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่องอิเหนา และรามเกียรติ์ ขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมแก่การละคร ให้มากยิ่งขึ้น จนวรรณคดีเรื่องอิเหนาได้รับการยกย่องว่า เป็นกลอนบทละครที่ดีที่สุดส่วนด้านดนตรีก็เฟื่องฟูเช่นเดียวกัน จนปรากฏในพระราชประวัติพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่าทรงซอสามสายได้เป็นเลิศ มีซอคู่พระหัตถ์เรียกว่า “ซอสายฟ้าฟาด” (ธำรงศักดิ์ อายุวัฒนะ. 2515 : 90)ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงโปรดดนตรีมากนัก แต่ก็มิได้ห้ามไม่ให้เล่นดนตรีไทย ยังคงทำให้เจ้านายในวังได้มีการแสดงการดนตรี และการละครภายในวังของตน จึงทำให้เจ้านายเหล่านี้มีส่วนในการอุปถัมภ์ ส่งเสริมในการละคร และการดนตรีเจริญรุ่งเรืองสืบมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 และในรัชสมัยนี้ ได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มขึ้นเพื่อใช้คู่กับระนาดเอกในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชาชนนิยมเล่นแอ่วลาวเป่าแคนกันมาก จนเป็นเหตุให้การดนตรีไทยมีผู้เล่นน้อยลง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงพระราชบัญญัติห้ามเล่นแอ่วลาว เมื่อปี 2408 ด้วย เพราะทรงรังเกียจว่าไม่ใช้ของไทยแท้เป็นของประเทศราช จะนำมาใช้เป็นของไทยนั้นหากใครเล่นจะเก็บภาษีให้แรง ประชาชนจึงคลายการเล่นแอ่วลาวลง พระราชบัญญัติข้อนี้ แม้จะมีลักษณะเป็นชาตินิยมมากก็จริง แต่ถ้ามองในแง่ของการสงวนไว้ ซึ่งศิลปวัฒนธรรมไทยแท้แล้ว ก็นับได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยในสมบัติของชาติ และทรงพยายามที่จะส่งเสริมดนตรีไทยอย่างแท้จริง ( พูนพิศ อมาตยกุล. 2524 : 23)การดนตรี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ขยายแยกออกไปอีกมากมาย อาทิ เกิดการแสดงละครขึ้นอีกหลากหลายรูปแบบ การบรรเลงแตรวง ได้มีการปรับปรุงให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นในสมัยนี้ ได้มีการพัฒนาเครื่องดนตรีไทยเพิ่มเติม ได้แก่ กลองตะโพน (ความจริงคือกลองตะโพนเดิมนั่นเอง) แต่วิธีการตีกลองผิดไปจากเดิมคือ ใช้ตีแบบกลองทัด(ตีหน้าเดียว) โดยใช้ ไม้นวม ตีเพื่อให้เกิดเสียงทุ้มกังวาน และ ยังเกิดวงปี่พาทย์ไม้นวมเรียกว่า “ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์” ใช้กับละครแบบใหม่ ซึ่งดัดแปลงมาจากโอเปร่า ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์นี้ฟังไพเราะมาก(ชิ้น ศิลปบรรเลง;2515:21) ในสมัยรัชกาลที่ 5 การดนตรีไทยได้พัฒนารูปแบบเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ที่สำคัญคือ การประชันฝีมือดนตรีทำให้เกิดการพัฒนาฝีมือของนักดนตรี และเกิดการผสมวงขึ้น โดยการนำเครื่องดนตรีต่างๆ มารวมเพิ่มขึ้นในวงให้มากและเป็นการรวมนักดนตรีที่มีฝีมือเข้าด้วยกันจึงทำให้เพียบพร้อมไปด้วยนักดนตรีฝีมือและมีเครื่องดนตรีหลากหลายประเภท ทำให้การบรรเลงมีเสียงที่ไพเราะยิ่ง
ในสมัยรัชกาลที่ 6 การดนตรีได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากมาย เพราะมีการค้าขายติดต่อกับชาวต่างชาติมาก ซึ่ง อาจารย์มนตรี ตราโมท ได้กล่าวว่า“เป็นรัชสมัยที่มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายรับราชการ และปฏิบัติธุรกิจมากมาย เจ้านายและขุนนาง ข้าราชการ ศึกษามาจากยุโรปเป็นอันมาก ศิลปะการแสดงต่างๆ จึงได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก แปรเปลี่ยน และเกิดขึ้นหลายอย่าง ละครก็มีละครพูด ละครสังคีต ละครร้อง การดนตรีมีวงโยธวาธิต แตรวง เพิ่มขึ้น จนถึงวงของเอกชน ในราชการมีวงเครื่องสายฝรั่ง ของกรมมหรสพ และของกรมทหารม้าล้วนเป็นวงปี่ที่มีคุณภาพการบรรเลงเป็นอย่างดี ทางวงดนตรีไทยก็เจริญทั้งปริมาณและคุณภาพ ทั้งวงปี่พาทย์ วงเครื่องสายและมโหรี”(มนตรี ตราโมท. 2527 : 36)ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายท่าน ซึ่งนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงตั้งราชทินนามของนักดนตรี ไว้เป็นคำกลอนสัมผัสดังนี้
- พระเพลงไพเราะ หลวงเพราะสำเนียงหลวงเสียงเสนาะกรรณ
- พระสรรพ์เพลงสรวงหลวงพวงสำเนียงร้อย หลวงสร้อยสำเนียงสนธิ์
- หลวงวิมลวังเวง หลวงบรรเลงเลิศเลอ ขุนบำเรอจิตรจรง
- หลวงบำรุงจิตรเจริญ ขุนเจริญดนตรีการ พระยาประสานดุริยศัพท์
- หลวงศรีวาฑิต หลวงสิทธิวาทิน พระพิณบรรเลงราช
- พระพาทย์บรรเลงรมย์ หลวงประสมสังคีต พระประณีตวรศัพท์
- พระประดับดุริยกิจ ขุนสนิทบรรเลงการ หมื่นประโคมเพลงประสาน
- หลวงชาญเชิงระนาด ขุนฉลาดฆ้องวง ขุนบรรจงทุ้มเลิศ
- หมื่นประเจิดปี่เสนาะ หลวงไพเราะเสียงซอ ขุนคลอขลุ่ยคล่อง
- (ไม่มีตัวจริง) หลวงว่องจะเข้รับ หมื่นคนธรรพ์ประสิทธิประสาร
- หมื่นขับคำหวาน หมื่นตันติการ เจนจิตร หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
- พระยาเสนาะดุริยางค์ พระสำอางค์ดนตรี
- ขุนสำเนียงชั้นเชิง (จารุวรรณ ไวยเจตน์;2529:235-236)
จะเห็นได้ว่า ในรัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 มีนักดนตรีที่พระองค์ ได้ทรงโปรดพระราชทานราชทินนาม บรรดาศักดิ์ และชื่อเสียงเกียรตินิยมแก่นักดนตรีหลายท่านอย่างเอาใจใส่ นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองในด้านดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่งและพระองค์มีพระปรีชาสามารถในด้านการดนตรีเช่นกัน จึงเป็นระยะเวลาที่นักดนตรีของพระองค์มีความผาสุกอย่างยิ่ง ด้วยพระองค์ทรงเอาใจใส่เป็นอย่างดีการดนตรีไทย ในสมัยรัชกาลที่ 7 นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในช่วงปลายสมัยของพระองค์และสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ คือ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามกำลังใจของนักดนตรีก็มีอยู่มาก เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาด้านดนตรีไทย จนมีความสามารถในด้านการเล่นดนตรีไทยและพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ถึง 3 เพลง คือ ราตรีประดับดาว เขมรละออองค์เถาและโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 37)ในสมัยนี้มีนักดนตรีเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างสูงสุด คือ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ชาวสมุทรสงคราม ท่านได้แต่งเพลงไทยไว้มากมาย มีทั้งแต่งขึ้นใหม่ และทำแนวบรรเลงเปลี่ยนแปลงจากของเก่า (ที่เรียกว่าทางเปลี่ยน) เพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะ แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เช่นกระต่ายชมเดือนเถา เขมรปากท่อเถา ขอมทอง ครวญหา จีนนำเสด็จ จีนลั่นถัน ชมแสงจันทร์ เขมรเลียบนคร พราหมณ์ดีดน้ำเต้า นกเขาขะแมร์ สาริกาเขมรอะแซหวุ่นกี้ ขะแมร์กอฮอม ขะแมร์ซอ ขะแมร์ธม และโอ้ลาว เป็นต้น
นักดนตรีไทยอีกท่านหนึ่ง ที่แต่งเพลงไว้ในสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นจำนวนไม่น้อย คือ นายมนตรี ตราโมท ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมีความเชี่ยวชาญทั้งในการประพันธ์ บทเพลง บทร้อง และยังมีความสามารถในการแต่งเพลงประกอบการแสดง ระบำต่างๆ มีผลงานมากมายสุดจะพรรณนาได้ เพลงที่แต่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่ขึ้นชื่อมากมีหลายเพลง เช่น โสมส่องแสง เขมรปี่แก้วทางสักวา จะเข้หางยาวทางสักวา นางครวญเถา นกขมิ้นเถา พม่าเห่เถา และพระจันทร์ครึ่งซีกเถา เป็นต้น(พูนพิศ อมาตยกุล; 2524: 20)การดนตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จปรเมนทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เป็นสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยนี้ “เป็นระยะที่ดนตรีไทยเข้าสู่สภาวะมืดมน เพราะรัฐบาลไม่ส่งเสริมดนตรีไทย และยังพยายามให้คนไทยหันไปเล่นดนตรีสากลแบบตะวันตก”
(สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540: 40 อ้างใน พูนพิศ อมาตยกุล. 2524 : 21) ต่อมาก็เกิดรัฐนิยมขึ้น “ การที่มีรัฐนิยมเกิดขึ้น กล่าวคือ ห้ามการบรรเลงดนตรีไทย” (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 40 อ้างใน พระยาภูมี เสวิน. 2516 : 137) ด้วยเห็นว่าดนตรีไทยไม่เหมาะสมกับชาติที่กำลังพัฒนาให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ จึงมีการห้ามโดยเคร่งครัด แต่ยังอนุญาตให้บรรเลงในงานพิธีหรือในบางประเพณี แต่จะต้องไปขออนุญาตที่กรมศิลปากรหรืออำเภอก่อนและต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้ จึงทำให้นักดนตรีหัวใจห่อใจเหี่ยวไปตาม ๆ กัน บางคนถึงกับขายเครื่องดนตรีอันวิจิตรงดงาม เพราะถึงเก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ เครื่องดนตรีอันงดงามวิจิตร หลายชิ้นที่ถูกขายไปในรูปแบบของเก่า หรือขายต่อให้ต่างประเทศไปอย่างน่าเสียดายแต่ก็ยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อยที่ไม่ยอมทิ้งดนตรีไทย เช่น หลวงประดิษฐ์ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ยังคงแต่งเพลงต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ เพลงเอกของท่านที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 เช่น แสนคำนึงเถา กราวรำเถา แขกเงาะ และแขกชุมพล เป็นต้น และอาจารย์มนตรี ตราโมท ก็หันมาประดิษฐ์เพลงระบำมากขึ้น ซึ่งเพลงไทยในระยะนี้ อรวรรณ บรรจงศิลป์ (อ้างใน สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 41) กล่าวว่า“ระยะนี้มีผู้นำทำนองเพลงไทยมาใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ ผู้แต่งมีหลายท่าน เช่น พรานบูรณ์ หลวงวิจิตรวาทการ ล้วน ควันธรรม ฯลฯ สำหรับหลวงวิจิตรวาทการร่วมกับอาจารย์มนตรี ตราโมทแต่งเพลงประกอบบทละครประวัติศาสตร์หลายเพลง เช่น เพลงเพื่อนไทย ใต้ร่มธงไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ฯลฯ เพลงเหล่านี้ มีลักษณะเป็นแบบตามใจผู้แต่ง จะเป็นเพลงไทยก็ไม่ใช่ เพลงฝรั่งก็ไม่ใช่ การแต่งเพลงของหลวงวิจิตรวาทการแต่งโดยใช้จินตนาการของตนเองบ้าง บางเพลงก็นำทำนองของฝรั่งมาใส่เนื้อไทยบ้าง เช่น ภาพเธอ นักแต่งเพลงอื่น เช่น พรานบูรณ์ มีจุดมุ่งหมายของการแต่งเพลงเพื่อนำไปประกอบภาพยนต์ ละคร เพลงที่แต่งจึงพยายามให้เหมาะกับเนื้อเรื่อง เป็นสำคัญ เช่น เพลงดูซิดูโน่นซิ เพลงร้อนแดด ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า เพลงในระยะนี้เป็นเพลง ที่ยังไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทฤษฎีตะวันตกอย่างแท้จริงถึงอย่างไรก็ตาม ดนตรีไทยสมัยนี้ก็มิได้ซบเซาถึงขนาดจะขาดตอน เหมือนเมื่อครั้งเราเสียกรุงศรีอยุธยา แม้จะซบเซาลงบ้างและเกิดเพลงไทยสากลขึ้น เพลงไทยสากลที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ก็ยังเอาเค้าของเดิมหรือเอาเพลงไทยของเดิมมาร้องเล่น เพียงแต่เปลี่ยนจังหวะให้กระชับขึ้นเป็นแบบฝรั่ง ของไทยแท้จึงไม่ถึงกับสูญและโชคดีที่ยุดนี้สั้นมาก มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันบ่อยในที่สุด ดนตรีไทยแท้ก็กลับคืนมาอีกครั้ง (อรวรรณ บรรจงศิลป์ และโกวิทย์ ขันธศิริ. 2526 : 18) การดนตรีไทยในรัชสมัยรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปลายรัชกาลที่ 8 พ.ศ. 2488 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระอนุชา ได้ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เพลงไทยสากลและเพลงสากลขึ้นเพลงแรก คือ เพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน และต่อมาก็ทรงพระราชนิพนธ์เพลงสายฝน และอีกมากมาย เช่น เพลงชะตาชีวิต เพลงใกล้รุ่ง เพลงคำหวาน เพลงดวงใจกับความรัก เพลงพระราชนิพนธ์เหล่านี้ผิดแผกแตกต่างไปจากเพลงที่นำประพันธ์เพลงไทยสากลยุคนั้น ได้ประพันธ์ขึ้นเป็นเพลงที่บรรเลงยาก ร้องยากที่สุด เพราะใช้โน้ตครึ่งเสียงและกุญแจเสียงไม่เจนกับหูคนไทยในยุคนั้น กล่าวได้ว่าเพลงพระราชนิพนธ์ยุคแรกเริ่มขึ้น ทรงได้ล้ำหน้าความสามารถของนักประพันธ์เพลงไทยเป็นอย่างมาก เข้ามาตรฐานเพลงที่นิยมสูงสุดในทวีปยุโรปและอเมริกาจนฝรั่งกล่าวสรรเสริญในพระปรีชาสามารถ (พูนพิศ อมาตยกุล. 2529 : 19)ในสมัยนี้ ได้มีผู้แต่งเพลงไทยสากลหลายท่าน สำหรับนักแต่งเพลงไทยสากลที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ได้แสดงถึงความงดงาม ความละเอียดประณีต มีรสนิยมเป็นแบบเฉพาะพระองค์ ซึ่งเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งอันหาได้ไม่ง่ายนัก ดังที่อาจารย์มนตรี ตราโมทย์ ให้สัมภาษณ์ เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์ (เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์. 2530 : 28) ดังนี้ในด้านดนตรีไทยและนาฎศิลป์นี้ ดูเหมือนว่าพระองค์ท่านจะทรงสนพระทัยพอ ๆ กัน แต่ถ้าทางด้านดนตรีสากลแล้วทรงพระปรีชาสามารถมากทีเดียว ลักษณะนี้ถ้าหากเป็นสามัญชน คนธรรมดาก็เรียกว่า มีพรสวรรค์ เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า เรียนน้อยแต่รู้มากได้จะมีอยู่เฉพาะรายบุคคลเท่านั้น นับได้ว่าเป็นบุญของศิลปินไทยและประเทศชาติที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัยในศิลปะการดนตรีเช่นนี้การดนตรีไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ได้ขยายวงกว้างเข้าไปอยู่ในสถานศึกษา เห็นได้จากสถาบันการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษาได้ส่งเสริมให้นักเรียนและเยาวชนเล่นดนตรีไทยและขับร้องเพลงไทย โดยบรรจุวิชาดนตรีไว้ในหลักสูตรทุกระดับทั้งนี้ ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แผ่ปกคลุมเป็นร่มเกล้าแก่นักดนตรีไทย และเพลงไทยอย่างใหญ่หลวง ด้วยพระองค์ทรงโปรดเพลงไทยและดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งพระองค์ได้พระราชนิพนธ์เรื่อง “เหตุใดข้าพเจ้าจึงชอบดนตรีไทย ?” โดยทรงขึ้นต้นว่า “ดนตรีไทยดูเหมือนจะพัวพันกับชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมา พอเกิดมาเขาก็ประโคม เวลาสมโภชน์เขาก็ประโคม (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2531 : 47 อ้างใน ทองต่อ กล้าวไม้ ณ อยุธยา. 13)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอุปถัมภ์และทรงทะนุบำรุงดนตรีอยู่ตลอดมา ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานการแสดงดนตรีไทยของครูอาวุโส และบรรดาวงดนตรีของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่ระดับประถม มัธยมและอุดมศึกษาหลายครั้ง ได้ทรงร่วมการบรรเลงดนตรีด้วย ยังความโสมนัสยินดีแก่ผู้ร่วมและผู้มีโอกาสได้
เฝ้าทูลละอองพระบาทเป็นที่ยิ่ง (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 48 อ้างใน ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา. 2541 : 14) สรุปได้ว่า การดนตรีในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ทรงโปรดการดนตรีทุกประเภท จนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากชาวโลก ทั้งในและต่างประเทศอย่างท่วมท้น พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้อีกมากมาย อีกทั้งสมเด็จพระเพทรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้ทรงโปรดปรานดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบรรเลงดนตรีไทยได้ทุกชนิด ทรงใฝ่พระราชหฤทัยอย่างจริงจัง ดังที่ เสรี หวังในธรรม กล่าวว่า “ดนตรีไทยไม่สิ้นแล้ว เพราะพระทูลกระหม่อมแก้วเอาใจใส่”
ในสมัยรัชกาลที่ 6 การดนตรีได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากมาย เพราะมีการค้าขายติดต่อกับชาวต่างชาติมาก ซึ่ง อาจารย์มนตรี ตราโมท ได้กล่าวว่า“เป็นรัชสมัยที่มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายรับราชการ และปฏิบัติธุรกิจมากมาย เจ้านายและขุนนาง ข้าราชการ ศึกษามาจากยุโรปเป็นอันมาก ศิลปะการแสดงต่างๆ จึงได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก แปรเปลี่ยน และเกิดขึ้นหลายอย่าง ละครก็มีละครพูด ละครสังคีต ละครร้อง การดนตรีมีวงโยธวาธิต แตรวง เพิ่มขึ้น จนถึงวงของเอกชน ในราชการมีวงเครื่องสายฝรั่ง ของกรมมหรสพ และของกรมทหารม้าล้วนเป็นวงปี่ที่มีคุณภาพการบรรเลงเป็นอย่างดี ทางวงดนตรีไทยก็เจริญทั้งปริมาณและคุณภาพ ทั้งวงปี่พาทย์ วงเครื่องสายและมโหรี”(มนตรี ตราโมท. 2527 : 36)ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีนักดนตรีที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายท่าน ซึ่งนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงตั้งราชทินนามของนักดนตรี ไว้เป็นคำกลอนสัมผัสดังนี้
- พระเพลงไพเราะ หลวงเพราะสำเนียงหลวงเสียงเสนาะกรรณ
- พระสรรพ์เพลงสรวงหลวงพวงสำเนียงร้อย หลวงสร้อยสำเนียงสนธิ์
- หลวงวิมลวังเวง หลวงบรรเลงเลิศเลอ ขุนบำเรอจิตรจรง
- หลวงบำรุงจิตรเจริญ ขุนเจริญดนตรีการ พระยาประสานดุริยศัพท์
- หลวงศรีวาฑิต หลวงสิทธิวาทิน พระพิณบรรเลงราช
- พระพาทย์บรรเลงรมย์ หลวงประสมสังคีต พระประณีตวรศัพท์
- พระประดับดุริยกิจ ขุนสนิทบรรเลงการ หมื่นประโคมเพลงประสาน
- หลวงชาญเชิงระนาด ขุนฉลาดฆ้องวง ขุนบรรจงทุ้มเลิศ
- หมื่นประเจิดปี่เสนาะ หลวงไพเราะเสียงซอ ขุนคลอขลุ่ยคล่อง
- (ไม่มีตัวจริง) หลวงว่องจะเข้รับ หมื่นคนธรรพ์ประสิทธิประสาร
- หมื่นขับคำหวาน หมื่นตันติการ เจนจิตร หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
- พระยาเสนาะดุริยางค์ พระสำอางค์ดนตรี
- ขุนสำเนียงชั้นเชิง (จารุวรรณ ไวยเจตน์;2529:235-236)
จะเห็นได้ว่า ในรัชสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 มีนักดนตรีที่พระองค์ ได้ทรงโปรดพระราชทานราชทินนาม บรรดาศักดิ์ และชื่อเสียงเกียรตินิยมแก่นักดนตรีหลายท่านอย่างเอาใจใส่ นับเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองในด้านดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่งและพระองค์มีพระปรีชาสามารถในด้านการดนตรีเช่นกัน จึงเป็นระยะเวลาที่นักดนตรีของพระองค์มีความผาสุกอย่างยิ่ง ด้วยพระองค์ทรงเอาใจใส่เป็นอย่างดีการดนตรีไทย ในสมัยรัชกาลที่ 7 นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในช่วงปลายสมัยของพระองค์และสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ คือ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และประเทศไทยก็ได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามกำลังใจของนักดนตรีก็มีอยู่มาก เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาด้านดนตรีไทย จนมีความสามารถในด้านการเล่นดนตรีไทยและพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ถึง 3 เพลง คือ ราตรีประดับดาว เขมรละออองค์เถาและโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 37)ในสมัยนี้มีนักดนตรีเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างสูงสุด คือ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ชาวสมุทรสงคราม ท่านได้แต่งเพลงไทยไว้มากมาย มีทั้งแต่งขึ้นใหม่ และทำแนวบรรเลงเปลี่ยนแปลงจากของเก่า (ที่เรียกว่าทางเปลี่ยน) เพลงที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะ แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เช่นกระต่ายชมเดือนเถา เขมรปากท่อเถา ขอมทอง ครวญหา จีนนำเสด็จ จีนลั่นถัน ชมแสงจันทร์ เขมรเลียบนคร พราหมณ์ดีดน้ำเต้า นกเขาขะแมร์ สาริกาเขมรอะแซหวุ่นกี้ ขะแมร์กอฮอม ขะแมร์ซอ ขะแมร์ธม และโอ้ลาว เป็นต้น
นักดนตรีไทยอีกท่านหนึ่ง ที่แต่งเพลงไว้ในสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นจำนวนไม่น้อย คือ นายมนตรี ตราโมท ชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมีความเชี่ยวชาญทั้งในการประพันธ์ บทเพลง บทร้อง และยังมีความสามารถในการแต่งเพลงประกอบการแสดง ระบำต่างๆ มีผลงานมากมายสุดจะพรรณนาได้ เพลงที่แต่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่ขึ้นชื่อมากมีหลายเพลง เช่น โสมส่องแสง เขมรปี่แก้วทางสักวา จะเข้หางยาวทางสักวา นางครวญเถา นกขมิ้นเถา พม่าเห่เถา และพระจันทร์ครึ่งซีกเถา เป็นต้น(พูนพิศ อมาตยกุล; 2524: 20)การดนตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จปรเมนทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เป็นสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยนี้ “เป็นระยะที่ดนตรีไทยเข้าสู่สภาวะมืดมน เพราะรัฐบาลไม่ส่งเสริมดนตรีไทย และยังพยายามให้คนไทยหันไปเล่นดนตรีสากลแบบตะวันตก”
(สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540: 40 อ้างใน พูนพิศ อมาตยกุล. 2524 : 21) ต่อมาก็เกิดรัฐนิยมขึ้น “ การที่มีรัฐนิยมเกิดขึ้น กล่าวคือ ห้ามการบรรเลงดนตรีไทย” (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 40 อ้างใน พระยาภูมี เสวิน. 2516 : 137) ด้วยเห็นว่าดนตรีไทยไม่เหมาะสมกับชาติที่กำลังพัฒนาให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ จึงมีการห้ามโดยเคร่งครัด แต่ยังอนุญาตให้บรรเลงในงานพิธีหรือในบางประเพณี แต่จะต้องไปขออนุญาตที่กรมศิลปากรหรืออำเภอก่อนและต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการออกให้ จึงทำให้นักดนตรีหัวใจห่อใจเหี่ยวไปตาม ๆ กัน บางคนถึงกับขายเครื่องดนตรีอันวิจิตรงดงาม เพราะถึงเก็บไว้ก็เปล่าประโยชน์ เครื่องดนตรีอันงดงามวิจิตร หลายชิ้นที่ถูกขายไปในรูปแบบของเก่า หรือขายต่อให้ต่างประเทศไปอย่างน่าเสียดายแต่ก็ยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อยที่ไม่ยอมทิ้งดนตรีไทย เช่น หลวงประดิษฐ์ ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ยังคงแต่งเพลงต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ เพลงเอกของท่านที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 8 เช่น แสนคำนึงเถา กราวรำเถา แขกเงาะ และแขกชุมพล เป็นต้น และอาจารย์มนตรี ตราโมท ก็หันมาประดิษฐ์เพลงระบำมากขึ้น ซึ่งเพลงไทยในระยะนี้ อรวรรณ บรรจงศิลป์ (อ้างใน สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 41) กล่าวว่า“ระยะนี้มีผู้นำทำนองเพลงไทยมาใส่เนื้อร้องเต็มตามทำนองบ้าง แต่งขึ้นเองบ้าง เพื่อประกอบละครพูด ละครประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ ผู้แต่งมีหลายท่าน เช่น พรานบูรณ์ หลวงวิจิตรวาทการ ล้วน ควันธรรม ฯลฯ สำหรับหลวงวิจิตรวาทการร่วมกับอาจารย์มนตรี ตราโมทแต่งเพลงประกอบบทละครประวัติศาสตร์หลายเพลง เช่น เพลงเพื่อนไทย ใต้ร่มธงไทย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ฯลฯ เพลงเหล่านี้ มีลักษณะเป็นแบบตามใจผู้แต่ง จะเป็นเพลงไทยก็ไม่ใช่ เพลงฝรั่งก็ไม่ใช่ การแต่งเพลงของหลวงวิจิตรวาทการแต่งโดยใช้จินตนาการของตนเองบ้าง บางเพลงก็นำทำนองของฝรั่งมาใส่เนื้อไทยบ้าง เช่น ภาพเธอ นักแต่งเพลงอื่น เช่น พรานบูรณ์ มีจุดมุ่งหมายของการแต่งเพลงเพื่อนำไปประกอบภาพยนต์ ละคร เพลงที่แต่งจึงพยายามให้เหมาะกับเนื้อเรื่อง เป็นสำคัญ เช่น เพลงดูซิดูโน่นซิ เพลงร้อนแดด ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า เพลงในระยะนี้เป็นเพลง ที่ยังไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทฤษฎีตะวันตกอย่างแท้จริงถึงอย่างไรก็ตาม ดนตรีไทยสมัยนี้ก็มิได้ซบเซาถึงขนาดจะขาดตอน เหมือนเมื่อครั้งเราเสียกรุงศรีอยุธยา แม้จะซบเซาลงบ้างและเกิดเพลงไทยสากลขึ้น เพลงไทยสากลที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ก็ยังเอาเค้าของเดิมหรือเอาเพลงไทยของเดิมมาร้องเล่น เพียงแต่เปลี่ยนจังหวะให้กระชับขึ้นเป็นแบบฝรั่ง ของไทยแท้จึงไม่ถึงกับสูญและโชคดีที่ยุดนี้สั้นมาก มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกันบ่อยในที่สุด ดนตรีไทยแท้ก็กลับคืนมาอีกครั้ง (อรวรรณ บรรจงศิลป์ และโกวิทย์ ขันธศิริ. 2526 : 18) การดนตรีไทยในรัชสมัยรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปลายรัชกาลที่ 8 พ.ศ. 2488 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระอนุชา ได้ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เพลงไทยสากลและเพลงสากลขึ้นเพลงแรก คือ เพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน และต่อมาก็ทรงพระราชนิพนธ์เพลงสายฝน และอีกมากมาย เช่น เพลงชะตาชีวิต เพลงใกล้รุ่ง เพลงคำหวาน เพลงดวงใจกับความรัก เพลงพระราชนิพนธ์เหล่านี้ผิดแผกแตกต่างไปจากเพลงที่นำประพันธ์เพลงไทยสากลยุคนั้น ได้ประพันธ์ขึ้นเป็นเพลงที่บรรเลงยาก ร้องยากที่สุด เพราะใช้โน้ตครึ่งเสียงและกุญแจเสียงไม่เจนกับหูคนไทยในยุคนั้น กล่าวได้ว่าเพลงพระราชนิพนธ์ยุคแรกเริ่มขึ้น ทรงได้ล้ำหน้าความสามารถของนักประพันธ์เพลงไทยเป็นอย่างมาก เข้ามาตรฐานเพลงที่นิยมสูงสุดในทวีปยุโรปและอเมริกาจนฝรั่งกล่าวสรรเสริญในพระปรีชาสามารถ (พูนพิศ อมาตยกุล. 2529 : 19)ในสมัยนี้ ได้มีผู้แต่งเพลงไทยสากลหลายท่าน สำหรับนักแต่งเพลงไทยสากลที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ได้แสดงถึงความงดงาม ความละเอียดประณีต มีรสนิยมเป็นแบบเฉพาะพระองค์ ซึ่งเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งอันหาได้ไม่ง่ายนัก ดังที่อาจารย์มนตรี ตราโมทย์ ให้สัมภาษณ์ เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์ (เสถียร ดวงจันทร์ทิพย์. 2530 : 28) ดังนี้ในด้านดนตรีไทยและนาฎศิลป์นี้ ดูเหมือนว่าพระองค์ท่านจะทรงสนพระทัยพอ ๆ กัน แต่ถ้าทางด้านดนตรีสากลแล้วทรงพระปรีชาสามารถมากทีเดียว ลักษณะนี้ถ้าหากเป็นสามัญชน คนธรรมดาก็เรียกว่า มีพรสวรรค์ เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า เรียนน้อยแต่รู้มากได้จะมีอยู่เฉพาะรายบุคคลเท่านั้น นับได้ว่าเป็นบุญของศิลปินไทยและประเทศชาติที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัยในศิลปะการดนตรีเช่นนี้การดนตรีไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ได้ขยายวงกว้างเข้าไปอยู่ในสถานศึกษา เห็นได้จากสถาบันการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษาได้ส่งเสริมให้นักเรียนและเยาวชนเล่นดนตรีไทยและขับร้องเพลงไทย โดยบรรจุวิชาดนตรีไว้ในหลักสูตรทุกระดับทั้งนี้ ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แผ่ปกคลุมเป็นร่มเกล้าแก่นักดนตรีไทย และเพลงไทยอย่างใหญ่หลวง ด้วยพระองค์ทรงโปรดเพลงไทยและดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งพระองค์ได้พระราชนิพนธ์เรื่อง “เหตุใดข้าพเจ้าจึงชอบดนตรีไทย ?” โดยทรงขึ้นต้นว่า “ดนตรีไทยดูเหมือนจะพัวพันกับชีวิตประจำวันของข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมา พอเกิดมาเขาก็ประโคม เวลาสมโภชน์เขาก็ประโคม (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2531 : 47 อ้างใน ทองต่อ กล้าวไม้ ณ อยุธยา. 13)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงอุปถัมภ์และทรงทะนุบำรุงดนตรีอยู่ตลอดมา ทรงพระอุตสาหะเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานการแสดงดนตรีไทยของครูอาวุโส และบรรดาวงดนตรีของเด็กและเยาวชน ตั้งแต่ระดับประถม มัธยมและอุดมศึกษาหลายครั้ง ได้ทรงร่วมการบรรเลงดนตรีด้วย ยังความโสมนัสยินดีแก่ผู้ร่วมและผู้มีโอกาสได้
เฝ้าทูลละอองพระบาทเป็นที่ยิ่ง (สงบศึก ธรรมวิหาร. 2540 : 48 อ้างใน ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา. 2541 : 14) สรุปได้ว่า การดนตรีในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ทรงโปรดการดนตรีทุกประเภท จนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญจากชาวโลก ทั้งในและต่างประเทศอย่างท่วมท้น พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงไว้อีกมากมาย อีกทั้งสมเด็จพระเพทรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ได้ทรงโปรดปรานดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบรรเลงดนตรีไทยได้ทุกชนิด ทรงใฝ่พระราชหฤทัยอย่างจริงจัง ดังที่ เสรี หวังในธรรม กล่าวว่า “ดนตรีไทยไม่สิ้นแล้ว เพราะพระทูลกระหม่อมแก้วเอาใจใส่”